Lifestyle

ความสำคัญและการดูแลแบตเตอร์รี่ของรถยนต์ไฟฟ้า

การดูแลแบตเตอร์รี่

หัวใจสำคัญของการใช้งานสิ่งของต่างๆ ให้อยู่กับเราไปนานๆ นั้นก็คือ “การให้ความสำคัญและดูแลรักษาซ่อมบำรุง” นั้นเองครับ เพราะหากเราไม่คอยเช็คคอยดูแล้วนั้น…ไม่ว่าอะไรก็จะทำให้ก็จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลง เช่นเดียวกับเรื่องของ “แบตเตอร์รี่รถไฟฟ้า” ถ้าใช้งานไม่เป็นก็จะทำให้อายุแบตสั้นนั้นเองครับ วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ความสำคัญและการดูแลแบตเตอร์รี่ของรถยนต์ไฟฟ้า” กันครับ จะต้องทำอย่างไรบ้าง เราไปชมกันดีกว่าครับ

ความสำคัญของแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้า

เพราะรถยนต์ไฟฟ้า  (Electronic Vehicle : EV)  ใช้กำลังไฟในการวิ่งแบบ 100% เพราะฉะนั้น หัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า คงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก “แบตรถยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นขุมพลังในการจ่ายไฟให้ระบบการขับขี่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถทำงานและวิ่งต่อไปได้อย่างไม่มีสะดุด หากแบตเสียทุกอย่างก็คือจบ รถจะใช้งานไม่ได้นั้นเองครับ

3 ประเภของแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้า

●แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด (Lead Acid Battery)

– เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้มานับตั้งแต่ยุครถยนต์เครื่องสันดาป เพื่อใช้การจุดสตาร์ทเครื่องยนต์ จ่ายกระแสไฟให้กับระบบแอร์ วิทยุ หรือห้องโดยสาร
– ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า Lead-Acid Battery ยังคงทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าสตาร์ทมอเตอร์ขับเคลื่อน รวมไปถึงระบบ Infotainment
– ในท้องตลาดมีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แห้ง แบตเตอรี่กึ่งแห้ง
– มีราคาไม่แพง มีความปลอดภัย สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ค่อนข้างสูง

แบตเตอรี่ชนิดนิกเกิล-เมทัลไฮไดรด์ (Nickel-metal Hydride Battery / Ni-MH)

●ข้อมูลน่ารู้ของของแบตเตอรี่นิกเกิล-เมทัลไฮไดรด์

– ถูกคิดค้นในช่วงทศวรรษที่ 70 และได้รับการพัฒนาจนนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ช่วงต้นศตวรรษที่ 20
– รถยนต์ Hybrid (HEV หรือ PHEV) ที่ใช้ทั้งพลังงานไฟฟ้า / พลังงานน้ำมัน นิยมใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้
– มีอายุการใช้งานที่นานกว่าแบตเตอรี่ลิเธียม (Li-Ion) หรือแบตตะกั่วกรด
– มีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศได้ดีกว่าแบตเตอรี่ Li-Ion

●แบตเตอรี่นิเกิล-แคดเมียม (Nickel-Cadmium Battery / Ni-Cd)

– เป็นแบตเตอรี่ที่เคยนิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงศตววรษที่ 90
– สามารถนำมาอัดไฟใช้ซ้ำได้ ส่วนใหญ่จะนำมาใช้กับโทรศัพท์มือถือ, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ถ่านแบบก้อน
– สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้เยอะ มีรอบการชาร์จ (Charges Cycle) อยู่ที่ประมาณ 500 – 1,000 ครั้ง

การดูแลแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้า

อย่าชาร์จ EV ของคุณถึง 100% ทุกครั้ง ควรชาร์จแบตเตอรี่ของคุณให้อยู่ระหว่าง 80% – 90% พยายามรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20% ถึง 80%ทุกครั้งที่ทำได้ เป็นเพราะระดับประจุนั้นสอดคล้องกับจำนวนของลิเธียมไอออนที่เคลื่อนที่ได้ในชั้นแกรไฟต์และลิเธียมโคบอลต์ออกไซด์ของเซลล์การมีไอออนมากเกินไปในชั้นใดชั้นหนึ่งในภายหลังอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดความเครียดและเมื่อเวลาผ่านไป จะส่งผลต่อสุขภาพของแบตเตอรี่

หลีกเลี่ยงการชาร์จในสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัด เมื่อชาร์จ แบตเตอรี่ก็จะเกิดความร้อน ซึ่งเป็นธรรมชาติปกติของแบตเตอรี่ แต่หากแบตเตอรี่ร้อนเกินไปอาจทำให้เซลล์เสียหายและทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของอิเล็กโทรไลต์แคโทดซึ่งอาจส่งผลให้สูญเสียความจุอย่างกะทันหัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำให้รถของคุณเย็นในขณะชาร์จจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าจะใช้ระบบทำความเย็นหรือโดยการทำให้รถอยู่ในที่เย็นก็ตาม

อย่าเสียบปลั๊ก EV ทิ้งไว้หลังจากชาร์จเสร็จ การเสียบปลั๊ก EV ทิ้งไว้หลังจากการชาร์จเสร็จสิ้นอาจทำให้แรงดันไฟฟ้าตกได้แรงดันไฟตกคือการที่แรงดันแบตเตอรี่ของคุณลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งขัดขวางไม่ให้เซลล์ของแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเหมาะสมและอาจเกิดขึ้นได้จากการชาร์จ EV ของคุณมากเกินไปซ้ำๆ

และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ความสำคัญและการดูแลแบตเตอร์รี่ของรถยนต์ไฟฟ้า” ที่เราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อยกันนะครับ